ยุคนี้ใครก็ไม่ลืมชื่อ “โควิด-19” หรอก ถูกมั้ย? แค่ได้ยินก็เหมือนย้อนเวลากลับไปช่วงล็อกดาวน์ เคอร์ฟิว อยู่บ้านจนเบื่อ ข้าวไข่เจียววนไปวันละ 3 มื้อ แถมยังต้องลุ้นว่าติดไม่ติดกันอีก

แต่พอผ่านพ้นมา หลายคนก็อดคิดไม่ได้ว่า “อนาคตจะมีโรคระบาดอีกมั้ยวะ?” แล้วถ้ามีจริงๆ มนุษย์จะเอาตัวรอดจากมันได้ยังไงกันแน่?

มนุษย์ไม่เคยหนี โรคระบาด พ้นหรอก

ถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์โลกตั้งแต่ยุคโบราณ ยันถึงตอนนี้ เราเจอโรคระบาดมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ทั้ง กาฬโรค, ไข้หวัดใหญ่สเปน, ซาร์ส, เมอร์ส จนมาถึง โควิด-19 ซึ่งแต่ละโรคนี่เล่นเอาคนทั้งโลกสะเทือนไปตามๆ กัน ไม่ใช่แค่เจ็บป่วย แต่ยังส่งผลถึงเศรษฐกิจ การเดินทาง และความเป็นอยู่ของคนเลยทีเดียว

และจากแนวโน้มตอนนี้ หลายๆ นักวิทยาศาสตร์ก็บอกว่า “โอกาสที่โลกจะเจอโรคระบาดใหม่อีก…มีสูงมาก” ไม่ใช่แค่ความกลัวลอยๆ แต่มันมีเหตุผลรองรับเพียบเลย

ปัจจัยที่ทำให้เกิด โรคระบาด ใหม่ในอนาคต

แม้เราจะผ่านยุคโควิดมาแล้ว แต่ความจริงก็คือ โรคระบาดใหม่ๆ ยังมีโอกาสโผล่มาอีกเพียบ และนี่คือปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้โลกเราเสี่ยงจะเจอโรคใหม่อยู่ตลอดเวลา:

1. มนุษย์บุกรุกธรรมชาติมากขึ้น

ทุกวันนี้คนเราเข้าไปสร้างถนน สร้างบ้าน ทำฟาร์ม หรือแม้แต่ขุดเหมืองกลางป่า บางทีก็ไปใกล้แหล่งที่อยู่ของสัตว์ป่ามากเกินไป ซึ่งสัตว์เหล่านี้ก็มีเชื้อโรคที่เคยอยู่แค่ในป่า แต่พอมีมนุษย์เข้าไปใกล้บ่อยๆ เชื้อพวกนี้ก็มีโอกาส “ข้ามสายพันธุ์” มาสู่คนได้
เช่นกรณีไวรัสอีโบลา หรือซาร์ส ที่มีต้นทางมาจากสัตว์ป่าก่อนจะกลายเป็นโรคในคน

2. การเดินทางของคนรวดเร็วเกินคาด

แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถข้ามประเทศได้แล้ว นั่นหมายความว่า ถ้ามีเชื้อโรคเกิดขึ้นที่มุมหนึ่งของโลก มันสามารถแพร่ไปอีกซีกโลกได้ภายในวันเดียว การเคลื่อนไหวของผู้คนยุคนี้ไวพอๆ กับการออกรางวัลของ หวยไว ที่แค่กะพริบตาก็มีรอบใหม่มาอีกแล้ว นี่แหละที่ทำให้การควบคุมโรคยากกว่าเดิมหลายเท่า

3. โลกร้อนทำให้เชื้อโรคกระจายตัวในพื้นที่ใหม่

เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น พื้นที่ที่เคยหนาวเย็นก็อุ่นขึ้น ทำให้ แมลงพาหะโรค เช่น ยุง หรือเห็บ สามารถขยายพันธุ์ในพื้นที่ที่มันไม่เคยอยู่ได้ โรคเขตร้อนอย่างไข้เลือดออก มาลาเรีย หรือซิก้า จึงเริ่มปรากฏในประเทศที่ไม่เคยเจอมาก่อน

4. พฤติกรรมการกินของมนุษย์ที่เปลี่ยนไป

อาหารแปลกๆ เช่น ซุปค้างคาว เนื้อสัตว์หายาก หรือแม้แต่อาหารตลาดสดบางแห่ง ก็อาจเป็นจุดกำเนิดของไวรัสใหม่ได้ การนำสัตว์จากหลายสายพันธุ์มาอยู่รวมกันในที่แออัด เป็นเหมือน “ห้องทดลองธรรมชาติ” ให้ไวรัสพัฒนาและกลายพันธุ์

5. เมืองใหญ่แออัด คนอยู่รวมกันเยอะ

ในเมืองใหญ่ที่คนเบียดเสียดกันเป็นล้านคน โรคจะระบาดเร็วมาก เพราะพื้นที่จำกัด การใช้ของร่วมกัน และการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน เช่น รถไฟใต้ดิน รถเมล์ ฯลฯ ทำให้เชื้อโรคแพร่เร็วเป็นไฟลามทุ่ง
ยิ่งถ้าโรคนั้นติดต่อผ่านอากาศหรือการสัมผัส บอกเลยว่าควบคุมยากสุดๆ

6. เชื้อดื้อยาเริ่มแพร่กระจาย

การใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็นในมนุษย์และสัตว์ ทำให้เชื้อบางชนิดเริ่ม “ดื้อยา” แล้ว เมื่อเกิดการติดเชื้อด้วยแบคทีเรียหรือเชื้อราเหล่านี้ หมอก็ไม่มีทางรักษาได้ง่ายๆ แล้ว เพราะยาที่เคยใช้ได้ผลกลายเป็นใช้ไม่ได้อีกต่อไป
นี่อาจกลายเป็นวิกฤตโรคระบาดใหม่ที่ไม่ใช่ไวรัส แต่เป็น “เชื้อดื้อยา” ที่สู้ไม่ไหว

7. ข้อมูลข่าวสารปลอมแพร่เร็ว ทำให้ป้องกันยาก

ยุคนี้ใครๆ ก็แชร์อะไรได้ในโซเชียล โดยไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองอะไรเลย บางทีข่าวปลอมเกี่ยวกับโรคระบาด เช่น “ดื่มน้ำเกลือรักษาโควิดได้” หรือ “ไม่ต้องฉีดวัคซีนก็หาย” กลับแพร่ไวกว่าเนื้อหาจากแพทย์จริงๆ
พอคนเชื่อข่าวปลอม ก็ทำให้การควบคุมโรคยากขึ้น และยิ่งเปิดทางให้โรคแพร่กระจายแบบไร้การควบคุม

ถ้ามี โรคระบาด ใหม่จริงๆ มันจะเหมือนโควิดมั้ย?

อันนี้ตอบยาก เพราะไวรัสแต่ละตัวมันมีพฤติกรรมต่างกัน แต่ถ้าถามว่ามีโอกาสมั้ยที่จะหนักกว่าโควิด? มีสิ! เพราะบางโรคที่กำลังเฝ้าระวังอยู่ตอนนี้ เช่น Nipah Virus, H5N1, H7N9 หรือไวรัสที่เกิดจากเชื้อราดื้อยา พวกนี้ถ้าระบาดจริงๆ อาจจะควบคุมยากกว่าโควิดด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น โลกยุคนี้ที่คนแพร่ข้อมูลเร็วมาก บางทีข่าวปลอมก็ไปไวกว่าข่าวจริงซะอีก ทำให้การรับมือยากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะนอกจากต้องรักษาโรค ยังต้องรักษาความตื่นตระหนกของคนอีก

มนุษย์จะรอดยังไง?

ฟังดูน่ากลัวเนอะ แต่ไม่ต้องเครียดเกินไป เพราะมนุษย์เราก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เหมือนกัน ลองมาดูกันว่าเรามีอะไรเตรียมไว้บ้างแล้ว

เทคโนโลยีทางการแพทย์พัฒนาไวขึ้น

สมัยก่อนกว่าจะมีวัคซีนใช้ได้ต้องรอเป็นสิบปี แต่โควิดแค่ปีเดียวเราก็เริ่มฉีดกันแล้ว แถมตอนนี้ยังมีเทคโนโลยีใหม่อย่าง mRNA, AI ช่วยวิเคราะห์ไวรัส, แพลตฟอร์มสื่อสารโรคระบาด ที่ช่วยให้รู้เร็วและจัดการเร็วขึ้น

หน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลกจับตาโรคใกล้ชิด

ไม่ว่าจะ WHO หรือศูนย์ควบคุมโรคในแต่ละประเทศ ตอนนี้มีระบบเฝ้าระวังโรคใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นที่ไหน ก็จะมีคนเข้าไปตรวจสอบทันที

คนทั่วไปเริ่มมีความรู้และระวังตัวมากขึ้น

หลังจากผ่านโควิดมา คนจำนวนไม่น้อยรู้จักวิธีป้องกันตัวเอง ใส่แมส ล้างมือ ฉีดวัคซีน ตรวจ ATK ฯลฯ กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งช่วยลดการระบาดได้เยอะมาก

มีแผนรับมือโรคระบาดในระดับโลก

ตอนนี้หลายประเทศเริ่มสร้างแผนรับมือฉุกเฉิน เตรียมอุปกรณ์ หน้ากาก เวชภัณฑ์ และกำลังพลไว้พร้อม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ “ขาดแคลนทุกอย่าง” เหมือนช่วงโควิดอีก

แล้วเราควรเตรียมตัวยังไง?

ถ้าไม่อยากกลัวจนเกินไป สิ่งที่ดีที่สุดคือ “เตรียมตัวล่วงหน้า” ไม่ใช่พอมีโรคแล้วค่อยวิ่งหาหน้ากาก ก็อาจไม่ทัน ดังนั้นนี่คือสิ่งที่แต่ละคนทำได้เลย:

  • หาข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่เชื่อข่าวปลอมง่ายๆ
  • ดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงเสมอ กินดี นอนพอ ออกกำลังกาย
  • ถ้ามีวัคซีน ก็อย่ากลัวที่จะฉีด (โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง)
  • ใส่ใจเรื่องสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน เช่น ล้างมือ ใส่แมสเวลาอยู่ในที่แออัด
  • ไม่ละเลยสัญญาณเตือนจากภาครัฐหรือองค์กรสาธารณสุข
  • มีสติ ไม่ตื่นตระหนก และไม่สร้างความตื่นกลัวให้คนอื่น
หาหมอ

สุดท้าย…มนุษย์เรารอดได้ไหม?

คำตอบคือ “ได้!” เพราะเราเคยรอดมาแล้วจากโรคที่น่ากลัวกว่านี้อีก แต่การจะรอดได้อย่างปลอดภัยที่สุด มันขึ้นอยู่กับว่า “เราจะเตรียมตัวและร่วมมือกันแค่ไหน” เพราะโรคระบาดไม่เลือกใคร มันไม่สนว่าคุณจะรวยหรือจน จะเด็กหรือแก่ ถ้าเราไม่ช่วยกันป้องกัน ตั้งแต่ระดับบุคคลจนถึงระดับประเทศ มันก็ยากที่ใครจะรอดได้แบบลอยตัว

ดังนั้น อย่ากลัวจนเกินไป แต่ก็อย่าชะล่าใจเกินไป เพราะในโลกอันใกล้…เราอาจต้องเผชิญหน้ากับโรคใหม่อีกครั้ง แล้วตอนนั้นคุณพร้อมหรือยัง?